SLider section

ไก่ย่าง

ภาค อีสาน

  • recipe image cover

ไก่ย่าง

ความเป็นมา

ไก่ย่างเป็นอาหารขึ้นชื่อที่ทานคู่กับข้าวเหนียวส้มตำได้เป็นอย่างดี ไก่ย่างในภาคอีสานมีมากมายหลายสูตร ที่ขึ้นชื่อจะมี ไก่ย่างเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่นและ ไก่ย่างวิเชียรบุรีจังหวัดเพชรบูรณ์

 

คุณค่าทางโภชนาการ

ไก่เป็นแหล่งอาหารที่ให้โปรตีนมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย และหาทานได้ง่าย อีกทั้งเครื่องเทศที่นำไปหมักยังมีคุณค่าทางโภชนาการ    เช่น กระเทียม ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย

 

วิธีทำ

ไก่ตัวละ 2 กิโลกรัม              1        ตัว

ตะไคร้บด                          30      กรัม

กระเทียมบด                       3        ช้อนโต๊ะ

รากผักชีบด                        2        ช้อนโต๊ะ

พริกไทยดำบด                   1        ช้อนโต๊ะ

ใบเตย                               2        ใบ

น้ำมันหอย                         2        ช้อนโต๊ะ

ซีอิ้วขาว                            1        ช้อนโต๊ะ

หอมแดงบด                      3        ช้อนโต๊ะ

นมสด                               ¼       ถ้วยตวง

เกลือ                                1        ช้อนชา

 

วิธีทำ

ผ่าไก่ออกเป็น 2 ส่วนตามความยาว หมักไก่ด้วยตะไคร้ กระเทียม รากผักชี พริกไทยดำ น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว หอมแดง นมสด และเกลือเข้าด้วยกัน ขยำด้วยใบเตยให้ส่วนผสมคลุกเคล้าให้ทั่ว หมักทิ้งไว้ 4 – 6 ชั่วโมง จากนั้นนำมาย่างให้สุก เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่ว

 

 

ภาค อีสาน

แกงเปรอะ

    ความเป็นมา แกงเปรอะ หรือแกงลาว เป็นแกงยอดนิยมทางภาคอีสาน มีรสชาติอร่อยสไตล์อีสาน เป็นเมนูรวมวัตถุดิบที่ให้คุณค่าทางสารอาหารมากมาย เช่น ใบย่านาง หน่อไม้และผักต่างๆ   คุณค่าทางโภชนาการ แกงเปรอะมีสรรพคุณหลากหลาย เช่น น้ำใบย่านางช่วยเสริมสร้างภูมิต้านโรคในร่างกายให้แข็งแรงหน่อไม้มีเส้นใยอาหารจำนวนมากจึงทำให้ช่วยระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดีนอกจากนั้นเห็ดฟางและพริกขี้หนูมีวิตามินซีสูง ใบแมงลักมีฤทธิ์ช่วยขับลมในลำไส้ได้อย่างดี   ส่วนผสม หน่อไม้ต้ม                          500    กรัม น้ำใบย่านาง                       4        ถ้วย พริกขี้หนูแดง                      10      กรัม ใบแมงลักเด็ด                      1/2     ถ้วย ต้นหอมหั่น                         1/2     ถ้วย ชะอมเด็ด                           1/2     ถ้วย ข้าวเบือ                              3        ช้อนโต๊ะ เห็ดฟางหั่น                        1/2     ถ้วย ยอดฟักทองเด็ด                 1/2     ถ้วย น้ำปลา                                 3        ช้อนโต๊ะ น้ำปลาร้า                              3        ช้อนโต๊ะ   วิธีทำ โขลกพริกขี้หนูสดหยาบๆ พักไว้ต้มน้ำใบย่านางให้เดือด ใส่พริกโขลก หน่อไม้ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำปลาร้า ใส่ใบแมงลัก ชะอม เห็ดฟาง ยอดฟักทอง ต้นหอม ข้าวเบือ ต้มพอเดือดยกลงตักใส่ภาชนะ พร้อมเสิร์ฟ    


เพิ่มเติม

ภาค กลาง

แกงเขียวหวานเนื้อ

ความเป็นมา แกงกะทิที่ใช้พริกชี้ฟ้าเขียวแทนพริกแดงในส่วนผสมพริกแกงจึงทำให้มีสีเขียว และยังมีลูกผักชี ยี่หร่า ซึ่งเป็นเครื่องเทศของชาวอาหรับหรืออินเดีย รวมไปถึงการใช้เนื้อวัวที่คล้ายกับอาหารของชาวมุสลิม แสดงให้เห็นว่าแกงเขียวหวานเป็นแกงที่ได้รับอิทธิพลมาจากต่างชาติ และคนไทยก็นำมาปรุงแต่งให้มีเอกลักษณ์จนเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติ คุณค่าทางโภชนาการ แกงกะทิจานนี้ได้โปรตีนสูงจากเนื้อวัวที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ และแร่ธาตุที่มีประโยชน์โดยเฉพาะธาตุเหล็กและสังกะสีที่จำเป็นต่อร่างกาย ส่วนกะทิที่เป็นไขมันอิ่มตัวก็สมดุลด้วยสมุนไพรที่มีอยู่ในเครื่องพริกแกง มะเขือพวงมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยให้เหงือกและฟันแข็งแรง  มะเขือพวง 100 กรัม มีแคลเซียม 158 มิลลิกรัม และฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม ส่วนผสม กะทิ                                         4     ถ้วย น้ำพริกแกงเขียวหวาน            ½    ถ้วย เนื้อหั่นบาง                              300 กรัม มะเขือเปราะ                            100 กรัม มะเขือพวง                               20   กรัม น้ำปลา                                     3     ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ                                 1     ช้อนโต๊ะ ใบโหระพา                                50   กรัม พริกชี้ฟ้าเขียวหั่นแฉลบสำหรับโรยหน้า ส่วนผสมเครื่องพริกแกงเขียวหวาน พริกชี้ฟ้าเขียวกรีดเม็ดออก 11 เม็ด ตะไคร้ซอยบาง  ¼ ถ้วย หอมแดงซอย ¼ ถ้วย กระเทียม 2 ช้อนโต๊ะ ผิวมะกรูดหั่นฝอย 1 ช้อนชา รากผักชีหั่นฝอย 1 ช้อนชา พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา กะปิ 1 ช้อนชา ลูกผักชีคั่ว 4 ช้อนชา ยี่หร่าคั่ว 2 ช้อนชา ตำหรือปั่นทุกอย่างรวมกันจนละเอียด ถ้าต้องการให้มีสีเขียวเข้มสวยใส่ใบพริกลงไปตำด้วย วิธีทำ ผัดพริกแกงกับกะทิให้มีกลิ่นหอม อาจจะต้องผัดนานเล็กน้อยเพื่อทำให้เครื่องแกงสุก และไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว จากนั้นนำเนื้อลงไปผัดให้พอสุก ใส่กะทิและน้ำซุปเล็กน้อย ตั้งจนเดือดและมีกลิ่นหอม ใส่มะเขือเปราะ และมะเขือพวง ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ เมื่อเดือดอีกครั้งให้ใส่ใบโหระพา ตักขึ้นเสิร์ฟร้อนๆ


เพิ่มเติม

ภาค กลาง

ขนมจีนซาวน้ำ

ความเป็นมา ขนมจีน มาจากภาษามอญว่า “คะนอม” คำว่า จีน มีความหมายว่า สุก จึงสันนิษฐานว่าไทยรับการทำขนมจีนมาจากชาวมอญตั้งแต่โบราณ และเข้ามาในราชสำนักในสมัยรัชกาลที่ 4 ขนมจีนซาวน้ำนี้น่าจะเป็นจานที่คนภาคกลาง คิดสร้างสรรค์ขึ้นในฤดูร้อนที่ต้องการกินอะไรเย็นๆ รสหวาน ๆ เปรี้ยวๆ แก้ร้อน ขนมจีนซาวน้ำอาจเปรียบได้กับสลัดเย็นของฝรั่ง จัดเป็นอาหารสุขภาพของไทยได้อีกจานหนึ่ง   คุณค่าโภชนาการ แม้ว่าขนมจีนทำมาจากแป้งข้าวเจ้า แต่มีส่วนของน้ำมาก ขนมจีน 1 จับ (ประมาณ 72 กรัม) ให้พลังงานเพียง 80 กิโลแคลอรี นอกจากนี้ยังมีสับปะรด กับน้ำมะนาวที่ให้วิตามินซี เมื่อกินแล้วจะรู้สึกสดชื่น มีขิงที่ช่วยขับลม กุ้งแห้งให้โปรตีน และกระเทียมที่ช่วยลดคอเรสเตอรอล จัดเป็นอาหารจานสมดุลที่ไม่ทำให้อ้วนและเหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก   ส่วนผสม ขนมจีน                                     300 กรัม สับปะรดเนื้อฉ่ำหั่นฝอย                1     ถ้วย กุ้งแห้งตำ                                  ½    ถ้วย ขิงอ่อนหั่นฝอย                          40   กรัม กระเทียมซอยบาง                       2     ช้อนโต๊ะ น้ำปลา                                     3     ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย                              3     ช้อนโต๊ะ หัวกะทิ                                     ½    ถ้วย เกลือเล็กน้อย วิธีทำ ผสมน้ำตาลทราย น้ำปลา ในหม้อนำขึ้นตั้งไฟอ่อน ใส่กระเทียมซอยบางลงไปตั้งให้เริ่มเดือด ยกลงพักไว้ให้เย็น จากนั้นเคี่ยวหัวกะทิกับเกลือให้งวดลงพักไว้ให้เย็น จัดขนมจีนลงในจาน ราดด้วยน้ำปรุงรส ใส่กุ้งแห้ง สับปะรด ขิงอ่อน ราดหน้าด้วยกะทิเล็กน้อย จัดเสิร์ฟ


เพิ่มเติม

close[x]
Questionnaire