SLider section

แกงมัสมั่นไก่

ภาค กลาง

  • recipe image cover

แกงมัสมั่นไก่

ความเป็นมา

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานความว่า “มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง” จึงทราบได้ว่า แกงมัสมั่นได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย เพราะมีส่วนผสมเครื่องเทศที่ขาดไม่ได้อย่าง ลูกผักชี ยี่หร่า ลูกจัน ดอกจันทน์ เม็ดกระวาน กานพลู ซึ่งให้กลิ่นรสที่ร้อนแรง ในตำรับอินเดียจะใช้เฉพาะเครื่องเทศแห้งและไม่ใส่กะทิ แต่ตำรับของไทยมีการใช้สมุนไพรสดในพริกแกง และมีการปรุงรสให้ออกเค็ม หวาน มัน และถูกจัดให้เป็นอาหารอร่อยอันดับ 1 ของโลก โดยเว็บไซต์ ซีเอ็น เอ็น โก เมื่อไม่นานมานี้

คุณค่าทางโภชนาการ

แกงมัสมั่นแม้จะเป็นแกงกะทิและมีเนื้อสัตว์มาก แต่เมื่อรับประทานแล้วก็ไม่ได้ทำให้แน่นหรืออิ่มท้องเกินไป เพราะมีเครื่องเทศที่นอกจากช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์และทำให้มีกลิ่นหอมชวนกินแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยลดอาการท้องอืดและช่วยย่อย เช่น อบเชย แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ คลื่นไส้ ยี่หร่าช่วยขับลม ขับเสมหะ กานพลูแก้อาการปวดท้อง จุกเสียด  พริกไทยช่วยย่อยอาหาร สบายท้อง ลูกจันทน์ช่วยแก้ไข้ บำรุงตับ ปอด ลดไขมันในเลือด ลูกกระวานแก้อาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย และด้วยรสชาติที่กลมกล่อมยังทำให้ทานง่าย สบายท้องอีกด้วย

ส่วนผสม

กะทิ                                         5     ถ้วย

ไก่สับชิ้นใหญ่                            500 กรัม

มันฝรั่งหัวเล็ก                             400 กรัม

หอมหัวใหญ่หัวเล็ก                     500 กรัม

ลูกกระวาน                                10   เม็ด

อบเชยยาว 2 นิ้ว                         1     แท่ง

ถั่วลิสงคั่ว                                  ¾    ถ้วย

น้ำปลา                                     4     ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลปี๊บ                                 3     ช้อนโต๊ะ

น้ำมะขามเปียก                           4     ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมเครื่องน้ำพริก พริกแห้งกรีดเม็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 11 เม็ด หอมแดง ½ ถ้วย กระเทียม ½ ถ้วย รากผักชีหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ ตะไคร้ซอยบาง ¼ ถ้วย กะปิ 1 ช้อนชา พริกไทยเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ ลูกจันทน์ ดอกจัน กานพลู เม็ดกระวานอย่างละ ½ ช้อนชา ลูกผักชี 2 ช้อนโต๊ะ ยี่หร่า 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

นำเครื่องแกงมัสมั่นไปผัดกับกะทิให้หอม ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดให้พอสุก จากนั้นเติมกะทิ ใส่อบเชย ลูกกระวาน ต้มเคี่ยวจนเดือดและกะทิเริ่มแตกมัน ใส่มันฝรั่ง หอมใหญ่ ถั่วลิสง ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และน้ำมะขามเปียก ตั้งเคี่ยวต่อให้งวดลงเล็กน้อย และมันฝรั่งสุกดี ตักเสิร์ฟ

ภาค อีสาน

หมูแดดเดียว

    ความเป็นมา เนื้อหมูเมื่อหมักแล้วนำไปตากแดดไว้ไม่นาน เนื้อหมูจะแห้งไม่มากและจะมีรสชาติที่อร่อย เมื่อนำมาทอดจะเพิ่มรสชาติให้กับเนื้อหมูและไม่ทำให้เหนียวมากเวลารับประทาน   คุณค่าทางโภชนาการ เนื้อหมูมีโปรตีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง   ส่วนผสม เนื้อหมูหั่นชิ้น            1        กิโลกรัม กระเทียม                 20      กรัม รากผักชี                  40      กรัม พริกไทย                  2        ช้อนชา น้ำตาล                     4        ช้อนชา น้ำปลา                     2        ช้อนโต๊ะ ซอสหอยนางรม         4        ช้อนโต๊ะ   วิธีทำ โขลกกระเทียม รากผักชี พริกไทยให้ละเอียด นำไปหมักเนื้อหมูเติมน้ำตาลน้ำปลาซอสหอยนางรม นวดด้วยมือจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี หมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นนำเนื้อหมูไปตากแดดประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง กลับเนื้อหมูเป็นระยะจนเริ่มแห้ง จากนั้นตั้งน้ำมันลงในกระทะบนไฟกลาง นำหมูลงไปทอดจนสุก จัดหมูทอดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ      


เพิ่มเติม

ภาค ใต้

หลนปูเค็ม

    ความเป็นมา หลน จัดเป็นเครื่องจิ้มอย่างหนึ่งของไทย น้ำขลุกขลิกใส่กะทิ มีรสหวานจากกะทิและน้ำตาลมะพร้าว กินกับผักสดต่างๆ ทางใต้มีพื้นที่ติดทะเลจึงมีปูมากและนำมาทำปูเค็มซึ่งจัดเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่งให้เก็บไว้กินได้นาน ใช้เพื่อปรุงรสเค็มในการทำหลนนี้ด้วย   คุณค่าทางโภชนาการ ปูเป็นซีฟู้ดที่มีโพแทสเซียมและสังกะสีสูง ส่วนผสมสมุนไพร เช่น หอม ตะไคร้ พริกขี้หนู ทำให้มีกลิ่นหอมชวนกินแล้ว ยังให้ความรู้สึกสดชื่น และหลนเป็นเครื่องจิ้มที่มีรสจัดจึงทำให้กินผักสดต่างๆ ได้มาก วิตามินและเกลือแร่จึงได้มากจากผักสด เช่น ขมิ้นขาว สายบัว มะเขือเปราะ ที่กินเป็นเครื่องเคียงนี้เอง   ส่วนผสม ปูเค็ม หั่นครึ่ง            5        ตัว หัวกะทิ                       1        ถ้วย หอมแดงซอย             30      กรัม ตะไคร้ซอย                 50      กรัม พริกขี้หนูซอย             5        กรัม น้ำตาลมะพร้าว          3        ช้อนโต๊ะ   วิธีทำ ตั้งกะทิพอเดือดใส่หอม ตะไคร้ คนให้เข้ากัน เมื่อเดือดอีกครั้งใส่ปู ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าว พอเดือด ชิมรส กินกับผักสดต่างๆ เช่น ใบบัวบก แตงกวา มะเขือเปราะ เป็นต้น    


เพิ่มเติม

ภาค กลาง

พะแนงเนื้อ

ความเป็นมา พะแนงเป็นแกงกะทิน้ำขลุกขลิกที่ต้องมีรสหวานนำ ตามด้วยรสเค็ม และมักจะไม่เผ็ดมาก หอมกลิ่นใบมะกรูด แม้ว่าน้ำพริกแกงจะคล้ายกับน้ำพริกแกงเผ็ดแต่น้ำแกงจะข้นกว่า เพราะใส่ถั่วลิสงเพิ่ม มีส่วนคล้ายกับแกงเนื้อของอินโดนีเซียที่มีชื่อเสียง คือ “เรนดัง” แต่หั่นเนื้อชิ้นใหญ่ สันนิษฐานว่า แกงพะแนงได้รับอิทธิพลมาจากจากชวาครั้งสมเด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสชวา ต้นห้องได้นำมาดัดแปลงและหั่นเนื้อให้เป็นชิ้นเล็กพอดีคำ   คุณค่าทางโภชนาการ จานนี้ให้โปรตีนและไขมันสูงมากทั้งจากเนื้อวัวและกะทิ  และมีสมุนไพรสดจากเครื่องพริกแกงที่มีสรรพคุณช่วยย่อย แก้ท้องอืด หอมแดง กระเทียมในน้ำพริกแกงช่วยลดคอเลสเตอรอล และพะแนงยังเป็นกับข้าวรสจัดจึงมักกินกับข้าว ทำให้ปริมาณเหมาะสมไปโดยปริยาย   ส่วนผสม กะทิ                                         2     ถ้วย เนื้อหั่นบาง                                300 กรัม น้ำพริกแกงแดง                          ½    ถ้วย ถั่วลิสงคั่ว                                  2     ช้อนโต๊ะ น้ำปลา                                     2     ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ                                 1     ช้อนโต๊ะ ใบมะกรูด                                  5     กรัม วิธีทำ ปั่นน้ำพริกแกงแดงกับถั่วลิสงคั่วให้ละเอียด จากนั้นนำไปผัดกับกะทิให้มีกลิ่นหอม ใส่เนื้อลงไปผัดให้พอสุก เติมกะทิที่เหลือ ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ ใส่ใบมะกรูดฉีก คนให้เข้ากันและน้ำแกงงวดลงเล็กน้อยตักเสิร์ฟ โรยใบมะกรูดซอยตกแต่ง และราดกะทิข้นเล็กน้อยให้สวยงาม


เพิ่มเติม

close[x]
Questionnaire