SLider section

แกงหมูใบชะมวง

ภาค กลาง

  • recipe image cover

แกงหมูใบชะมวง

ความเป็นมา

แกงน้ำขลุกขลิกที่ไม่ใส่กะทิแต่ต้องใช้เนื้อหมูติดมันอย่างหมู 3 ชั้นจึงจะอร่อย การกินเนื้อหมูเป็นวัฒนธรรมของจีนที่ไทยได้รับมาตั้งแต่อดีตเมื่อชาวจีนอพยพเข้ามา และมีการผสมผสานใช้ผักพื้นบ้านไทยโดยเฉพาะใบชะมวงมาปรุงเพื่อให้มีรสเปรี้ยว เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของจังหวัดจันทบุรี

คุณค่าทางโภชนาการ

ใบชะมวงมีสรรพคุณที่สำคัญคือ ให้รสเปรี้ยว มีสารอาหาร เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 และแร่ธาตุอีกมากมายรวมถึงแคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัส เมื่อกินพร้อมเนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงร่วมกันร่างกายจะสามารถนำสารอาหารเหล่านี้ไปใช้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ใบ ยอดอ่อน และผลของชะมวงยังจัดเป็นยาโบราณที่ช่วยระบายท้อง แก้ไข้ ฟอกเสมหะ ไอ กระหายน้ำ แก้ธาตุพิการ อีกด้วย

ส่วนผสมเครื่องแกง

พริกไทยเม็ด                              1     ช้อนโต๊ะ

ข่าหั่นบาง                                 15   กรัม

หอมแดง                                   2     ช้อนโต๊ะ

กระเทียม                                   2     ช้อนโต๊ะ

รากผักชีหั่น                               2     ช้อนชา

พริกชี้ฟ้าแห้งกรีดเม็ดออก            15   กรัม

กะปิเผา                                     1     ช้อนชา

ส่วนผสมแกงหมูชะมวง

หมูสามชั้นเนื้อมากติดมันน้อย       500 กรัม

หรือเนื้อหมูส่วนติดมัน หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมใหญ่

ใบชะมวงใบไม่แก่ไม่อ่อนเกินไป    80   กรัม

น้ำมัน                                       1     ช้อนโต๊ะ

น้ำสะอาด                                  4     ถ้วย

น้ำปลา                                     3     ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลปี๊บ                                 3     ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

หั่นใบชะมวงเป็นครึ่งส่วนพักไว้ ปั่นหรือตำเครื่องแกงให้ละเอียด นำเครื่องแกงไปผัดกับน้ำมัน และเนื้อหมู เติมน้ำสะอาดต้มจนเดือด ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บ ใส่ใบชะมวงลงไปคนให้เข้ากัน ต้มต่อไปจนน้ำงวดลง และใบชะมวงอ่อนนุ่ม ตักขึ้นเสิร์ฟ

ภาค กลาง

ข้าวคลุกกะปิ

ความเป็นมา กะปิเป็นเครื่องปรุงก้นครัวของไทยมาแต่โบราณ ใช้ทำอาหารได้หลายหลายทั้งแกง ผัด และปรุงเป็นน้ำพริก ให้รสเค็มและมีกลิ่นหอม ข้าวคลุกกะปิเป็นอาหารจานเดียวของคนโบราณที่นำกะปิมาคลุกกับข้าว กินกับเครื่องเคียงต่างๆ ที่มีรสอร่อยหลายรสในจานเดียว เช่น รสหวานจากหมูหวาน เปรี้ยวจากมะม่วง เผ็ดจากพริกขี้หนู และมีเนื้อสัมผัสทั้งกรอบจากกุ้งแห้งทอด และนุ่มจากไข่เจียว   คุณค่าทางโภชนาการ กะปิทำมาจากเคยที่นำมาหมัก มีแคลเซียมสูงมากช่วยบำรุงกระดูก ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่มีอยู่ในนม กะปิมีวิตามินบี 12 สูงมาก ซึ่งร่างกายสร้างเองไม่ได้ จึงต้องมาจากอาหารที่รับประทาน วิตามินบี 12 นั้นจะช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง  และยังมีไขมันโอเมก้า 3 ชนิดเดียวกับปลาทะเลน้ำลึก จึงช่วยเรื่องโลหิตอุดตันและโรคหัวใจได้อย่างดี ส่วนผสม ข้าวหุงสุกร้อน                            4       ถ้วย กะปิ                                            2     ช้อนโต๊ะ (เผาไฟให้หอม) กระเทียมสับ                               2     ช้อนโต๊ะ น้ำมัน                                         4     ช้อนโต๊ะ หมูหวานทั้งน้ำและเนื้อ               150 กรัม กุ้งแห้งทอด                                20   กรัม น้ำมะนาว                                     2     ช้อนโต๊ะ หอมแดงซอย                              40   กรัม มะม่วงเปรี้ยวซอย                        40   กรัม ไข่เจียวทอดบางและหั่นฝอย         80   กรัม พริกขี้หนูซอย ผักชีสำหรับโรยหน้า วิธีทำ ผัดกะปิ น้ำมัน กระเทียมให้เข้ากัน และมีกลิ่นหอม จากนั้นนำข้าวลงไปผัด โดยผัดให้กะปิเคลือบข้าวให้ทั่ว เป็นสีเทาแดงเท่าๆกัน จากนั้นตักขึ้น เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง และมะนาวหั่นเสี้ยว


เพิ่มเติม

ภาค กลาง

หมูสะเต๊ะ

ความเป็นมา หมูสะเต๊ะ เป็นอาหารปิ้งย่างที่คาดว่าได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเนื้อสะเต๊ะ แต่ในประเทศไทยที่มีคนจีนมากและไม่นิยมกินเนื้อวัวจึงเปลี่ยนเป็นเนื้อหมู ส่วนผสมที่ใช้หมักเนื้อก็ยังมีลูกผักชี ยี่หร่า ขมิ้นหรือผงกะหรี่  และร้านขายหมูสะเต๊ะอร่อยๆ มักเป็นคนจีน หมูสะเต๊ะเป็นของว่างที่กินได้ตลอดวัน และนิยมสั่งกินก่อนอาหารมื้อหนัก   คุณค่าทางโภชนาการ เนื้อหมูมีวิตามินบี 12 และอุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุต่างๆ มีโปรตีนที่ช่วยให้เด็กเจริญเติบโตได้เต็มที่ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เนื้อสะเต๊ะจะอร่อยเมื่อมีมันหมูติดไปด้วยเล็กน้อย เพราะจะทำให้เนื้อนุ่มและไม่กระด้าง แต่ควรระวังไม่กินมันหมูมากเกินไปเพราะร่างกายอาจจะรับไขมันเกินความจำเป็น   ส่วนผสม เนื้อหมูสันนอกหั่นเป็นชิ้นยาวกว้าง      1        กก. กะทิ                                          1        ถ้วย   เครื่องสำหรับหมักหมู ลูกผักชีป่น 1 ช้อนโต๊ะ ยี่หร่าป่น 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ ผงกะหรี่ 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา  น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ   วิธีทำ หมักหมูและเสียบไม้พักไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมง นำหมูสะเต๊ะย่างไฟ ขณะย่างพรมกะทิไปด้วยเพื่อไม่ให้แห้ง พอสุกใส่จาน เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มและอาจาด   ส่วนผสมน้ำจิ้มและวิธีทำ กะทิ 3 ถ้วย น้ำพริกแกง ½ ถ้วย ถั่วลิงสงโขลกละเอียด 1/3 ถ้วย น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปึก 2 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มมะขาม 2 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวกะทิให้พอแตกมัน ใส่น้ำพริกลงไปผัดจนหอม ใส่ถั่วลิสง น้ำปลา น้ำตาล น้ำส้มมะขาม เคี่ยวต่อจนข้น ชิมรส ส่วนผสมอาจาดและวิธีทำ น้ำส้มสายชู 1/3 ถ้วย น้ำตาลทราย ½ ถ้วย เกลือป่น 2 ช้อนชา แตงกวาผ่าสี่หั่น 2 ลูก หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ พริกชี้ฟ้าหั่นขวาง ½ เม็ด ผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ ตั้งไฟ พอทุกอย่างละลายยกลง พักไว้ให้เย็น จัดแตงกวา หอมแดง พริกชี้ฟ้าใส่ชาม ราดน้ำอาจาด


เพิ่มเติม

ภาค อีสาน

หมูยอทอด

    ความเป็นมา หมูยอเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อในภาคอีสานหลายจังหวัด เช่นที่จังหวัดอุบลราชธานีมีหมูยอซึ่งถูกปากและถูกใจจนต้องซื้อเป็นของฝาก หมูยอสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายแต่หมูยออร่อยๆแค่นึ่งหรือทอดก็เพียงพอแล้ว   คุณค่าทางโภชนาการ หมูยอมีโปรตีนมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกทั้งยังมีเครื่องเทศที่มีสรรพคุณหลากหลาย เช่น พริกไทยมีสาร ชื่อว่า ‘พิเพอรีน” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสามารถป้องกันอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้   ส่วนผสม หมูยอ น้ำมันพืช   วิธีทำ หั่นหมูยอเป็นชิ้นบางๆ พักไว้ จากนั้นเทน้ำมันลงในกระทะแล้วตั้งไฟให้ร้อน นำหมูยอลงไปทอดจนมีสีเหลืองน่ารับประทาน จัดใส่จานซับน้ำมัน พร้อมเสิร์ฟ      


เพิ่มเติม

close[x]
Questionnaire