SLider section

หลนปูเค็ม

ภาค ใต้

  • recipe image cover

หลนปูเค็ม

 

 

ความเป็นมา

หลน จัดเป็นเครื่องจิ้มอย่างหนึ่งของไทย น้ำขลุกขลิกใส่กะทิ มีรสหวานจากกะทิและน้ำตาลมะพร้าว กินกับผักสดต่างๆ ทางใต้มีพื้นที่ติดทะเลจึงมีปูมากและนำมาทำปูเค็มซึ่งจัดเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่งให้เก็บไว้กินได้นาน ใช้เพื่อปรุงรสเค็มในการทำหลนนี้ด้วย

 

คุณค่าทางโภชนาการ

ปูเป็นซีฟู้ดที่มีโพแทสเซียมและสังกะสีสูง ส่วนผสมสมุนไพร เช่น หอม ตะไคร้ พริกขี้หนู ทำให้มีกลิ่นหอมชวนกินแล้ว ยังให้ความรู้สึกสดชื่น และหลนเป็นเครื่องจิ้มที่มีรสจัดจึงทำให้กินผักสดต่างๆ ได้มาก วิตามินและเกลือแร่จึงได้มากจากผักสด เช่น ขมิ้นขาว สายบัว มะเขือเปราะ ที่กินเป็นเครื่องเคียงนี้เอง

 

ส่วนผสม

ปูเค็ม หั่นครึ่ง            5        ตัว

หัวกะทิ                       1        ถ้วย

หอมแดงซอย             30      กรัม

ตะไคร้ซอย                 50      กรัม

พริกขี้หนูซอย             5        กรัม

น้ำตาลมะพร้าว          3        ช้อนโต๊ะ

 

วิธีทำ

ตั้งกะทิพอเดือดใส่หอม ตะไคร้ คนให้เข้ากัน เมื่อเดือดอีกครั้งใส่ปู ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าว พอเดือด ชิมรส กินกับผักสดต่างๆ เช่น ใบบัวบก แตงกวา มะเขือเปราะ เป็นต้น

 

 

ภาค ใต้

หมูผัดสับปะรด

    ความเป็นมา คนโบราณนิยมนำผลไม้มาทำอาหารคาว โดยใช้รสเปรี้ยวหวานตามธรรมชาติมาช่วยชูรสอาหารให้อร่อยโดยไม่ต้องใส่ผงชูรส สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีน้ำมากมีทั้งรสเปรี้ยวและหวาน คนใต้นิยมนำมาทำแกงเหลือง หรือนำมาผัดกับหมูเป็นอาหารอร่อยๆ จากผลไม้อีกจาน   คุณค่าทางโภชนาการ สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีและใยอาหารมากพอสมควร ในอดีตสับปะรดใช้เป็นยากลางบ้านที่ช่วยแก้ไขข้ออักเสบ หลอดลมอักเสบ และอาหารไม่ย่อย ในปัจจุบันค้นพบว่ามีเอนไซด์ โบรมีเลนซึ่งจะช่วยละลายลิ่มเลือดเป็นประโยชน์กับโรคหัวใจอุดตัน โรคข้อเสื่อม  และสรรพคุณที่เด่นที่สุดคือช่วยย่อยโปรตีน หมูผัดสับปะรดจานนี้จึงเป็นจานสมดุลที่ทำให้อิ่มสบายท้อง   ส่วนผสม สับปะรดหั่นเป็นชิ้นเล็ก          200    กรัม หมูสามชั้นหั่นชิ้นเล็ก             80      กรัม กระเทียมบุบ                            5        กรัม เกลือ น้ำปลา น้ำตาล อย่างละเล็กน้อย   วิธีทำ ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอร้อน ใส่กระเทียมลงเจียวให้หอม ใส่หมูลงไปผัดสักครู่ ตามด้วยสับปะรด ผัดจนสับปะรดสลด ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลา น้ำตาล ชิมให้ได้รสเปรี้ยวหวาน    


เพิ่มเติม

ภาค อีสาน

หมูยอทอด

    ความเป็นมา หมูยอเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อในภาคอีสานหลายจังหวัด เช่นที่จังหวัดอุบลราชธานีมีหมูยอซึ่งถูกปากและถูกใจจนต้องซื้อเป็นของฝาก หมูยอสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายแต่หมูยออร่อยๆแค่นึ่งหรือทอดก็เพียงพอแล้ว   คุณค่าทางโภชนาการ หมูยอมีโปรตีนมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกทั้งยังมีเครื่องเทศที่มีสรรพคุณหลากหลาย เช่น พริกไทยมีสาร ชื่อว่า ‘พิเพอรีน” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสามารถป้องกันอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้   ส่วนผสม หมูยอ น้ำมันพืช   วิธีทำ หั่นหมูยอเป็นชิ้นบางๆ พักไว้ จากนั้นเทน้ำมันลงในกระทะแล้วตั้งไฟให้ร้อน นำหมูยอลงไปทอดจนมีสีเหลืองน่ารับประทาน จัดใส่จานซับน้ำมัน พร้อมเสิร์ฟ      


เพิ่มเติม

ภาค กลาง

แกงเขียวหวานเนื้อ

ความเป็นมา แกงกะทิที่ใช้พริกชี้ฟ้าเขียวแทนพริกแดงในส่วนผสมพริกแกงจึงทำให้มีสีเขียว และยังมีลูกผักชี ยี่หร่า ซึ่งเป็นเครื่องเทศของชาวอาหรับหรืออินเดีย รวมไปถึงการใช้เนื้อวัวที่คล้ายกับอาหารของชาวมุสลิม แสดงให้เห็นว่าแกงเขียวหวานเป็นแกงที่ได้รับอิทธิพลมาจากต่างชาติ และคนไทยก็นำมาปรุงแต่งให้มีเอกลักษณ์จนเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติ คุณค่าทางโภชนาการ แกงกะทิจานนี้ได้โปรตีนสูงจากเนื้อวัวที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ และแร่ธาตุที่มีประโยชน์โดยเฉพาะธาตุเหล็กและสังกะสีที่จำเป็นต่อร่างกาย ส่วนกะทิที่เป็นไขมันอิ่มตัวก็สมดุลด้วยสมุนไพรที่มีอยู่ในเครื่องพริกแกง มะเขือพวงมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยให้เหงือกและฟันแข็งแรง  มะเขือพวง 100 กรัม มีแคลเซียม 158 มิลลิกรัม และฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม ส่วนผสม กะทิ                                         4     ถ้วย น้ำพริกแกงเขียวหวาน            ½    ถ้วย เนื้อหั่นบาง                              300 กรัม มะเขือเปราะ                            100 กรัม มะเขือพวง                               20   กรัม น้ำปลา                                     3     ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ                                 1     ช้อนโต๊ะ ใบโหระพา                                50   กรัม พริกชี้ฟ้าเขียวหั่นแฉลบสำหรับโรยหน้า ส่วนผสมเครื่องพริกแกงเขียวหวาน พริกชี้ฟ้าเขียวกรีดเม็ดออก 11 เม็ด ตะไคร้ซอยบาง  ¼ ถ้วย หอมแดงซอย ¼ ถ้วย กระเทียม 2 ช้อนโต๊ะ ผิวมะกรูดหั่นฝอย 1 ช้อนชา รากผักชีหั่นฝอย 1 ช้อนชา พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา กะปิ 1 ช้อนชา ลูกผักชีคั่ว 4 ช้อนชา ยี่หร่าคั่ว 2 ช้อนชา ตำหรือปั่นทุกอย่างรวมกันจนละเอียด ถ้าต้องการให้มีสีเขียวเข้มสวยใส่ใบพริกลงไปตำด้วย วิธีทำ ผัดพริกแกงกับกะทิให้มีกลิ่นหอม อาจจะต้องผัดนานเล็กน้อยเพื่อทำให้เครื่องแกงสุก และไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว จากนั้นนำเนื้อลงไปผัดให้พอสุก ใส่กะทิและน้ำซุปเล็กน้อย ตั้งจนเดือดและมีกลิ่นหอม ใส่มะเขือเปราะ และมะเขือพวง ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ เมื่อเดือดอีกครั้งให้ใส่ใบโหระพา ตักขึ้นเสิร์ฟร้อนๆ


เพิ่มเติม

close[x]
Questionnaire