SLider section

ปลากระบอกต้มส้มโหนด

ภาค ใต้

  • recipe image cover

ปลากระบอกต้มส้มโหนด

ความเป็นมา

ต้มโนด หรือ น้ำส้มโหนด เป็นน้ำส้มสายชูหมักจากน้ำตาลโตนด ซึ่งเป็นการทำน้ำตาลหวานที่ได้จากต้นตาลมาทำเป็นน้ำตาลเปรี้ยว หรือน้ำสายชูเปรี้ยว นับเป็นภูมิปัญญาของคนใต้ที่นำพืชท้องถิ่นมาแปรรูปได้อย่างสร้างสรรค์ นำมาต้มปลากระบอกที่หาได้ในท้องถิ่น เป็นรสชาติธรรมชาติจากท้องถิ่นโดยแท้จริง

 

คุณค่าทางโภชนาการ

น้ำส้มสายชูหมักเป็นการหมักตามกรรมวิธีธรรมชาติ รสจะไม่เปรี้ยวจัด เมื่อหมักจากน้ำตาลโตนด ทำให้มีกลิ่นเปรี้ยวหอมที่นำไปทำอาหารได้กลิ่นเป็นเอกลักษณ์ชวนกิน น้ำส้มสายชูให้รสเปรี้ยวมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคหวัดคัดจมูกได้อย่างดี จานนี้มีรสเปรี้ยวหวาน คล้ายต้มส้มของภาคกลาง จึงทำให้กินปลาที่มีโปรตีนได้อร่อย และไม่มีไขมันให้กังวลใจ

 ส่วนผสม

ปลากระบอกตัวขนาดกลาง           500 กรัม

น้ำส้มสายชูตาลโตนด หรือน้ำส้มโหนด  ½    ถ้วย

ขมิ้นยาว 2 นิ้วบุบ                 1     ชิ้น

ตะไคร้บุบ                            30   กรัม

หอมแดงบุบ                         40   กรัม

พริกขี้หนูบุบ                         5     กรัม

น้ำตาลแว่น                           20   กรัม

เกลือ                                     1     ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

ตั้งน้ำสะอาด 5 ถ้วย ใส่ตะไคร้ ขมิ้น และหอมแดง บนไฟแรงจนเดือด ใส่ปลากระบอกลงไปต้มจนสุก ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู น้ำตาล และเกลือ ใส่พริกขี้หนู รอให้เดือดอีกครั้ง ตักเสิร์ฟร้อนๆ

ภาค ใต้

ไก่บ้านต้มขมิ้น

ความเป็นมา ไก่บ้านเป็นสัตว์ที่ชาวบ้านที่เลี้ยงไว้กินทั้งไข่ และเนื้อ โดยเลี้ยงปล่อยในธรรมชาติให้ขุดคุ้ยหากินเอง เนื้อไก่จึงเหนียวไม่ยุ่ย รสชาติหวานอร่อย นำมาต้มกับขมิ้นสมุนไพรท้องถิ่นที่ชาวบ้านปลูกไว้ กลายเป็นอาหารง่ายๆ ที่สามารถทำกินได้บ่อยครั้ง   คุณค่าทางโภชนาการ เนื้อไก่เป็นเนื้อสัตว์ที่ให้โปรตีนสูงไขมันต่ำ จึงช่วยสร้างกล้ามเนื้อได้อย่างดีและช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอของร่างกายได้โดยไม่ต้องกังวลใจเรื่องไขมันที่จะสร้างปัญหา และเนื่องจากเป็นไก่บ้านจึงไม่มีอันตรายจากสารเคมีต่างๆ ส่วนขมิ้นสีเหลืองเข้มสวยช่วยให้จานนี้มีสีสันน่ากิน และยังช่วยแก้ท้องอืด สมานแผลในลำไส้ และเมื่อไม่นานนี้มีการวิจัยว่าช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย   ส่วนผสม ไก่บ้านสับเป็นชิ้นเล็ก            1     กก. ขมิ้นยาว 2 นิ้ว              1     ชิ้น ตะไคร้บุบ                     40   กรัม หอมแดงบุบ                  40   กรัม กระเทียมบุบ                 10   กรัม พริกขี้หนูบุบ                 5     กรัม เกลือ                             2     ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ตั้งน้ำ 2 ลิตร ใส่หอมแดง ตะไคร้ ขมิ้นและกระเทียมตั้งไฟให้เดือด จากนั้นใส่ไก่บ้านลงต้มให้พอสุก ปรุงรสด้วยเกลือ ใส่พริกขี้หนู ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง ตักเสิร์ฟ    


เพิ่มเติม

ภาค กลาง

แกงหมูใบชะมวง

ความเป็นมา แกงน้ำขลุกขลิกที่ไม่ใส่กะทิแต่ต้องใช้เนื้อหมูติดมันอย่างหมู 3 ชั้นจึงจะอร่อย การกินเนื้อหมูเป็นวัฒนธรรมของจีนที่ไทยได้รับมาตั้งแต่อดีตเมื่อชาวจีนอพยพเข้ามา และมีการผสมผสานใช้ผักพื้นบ้านไทยโดยเฉพาะใบชะมวงมาปรุงเพื่อให้มีรสเปรี้ยว เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของจังหวัดจันทบุรี คุณค่าทางโภชนาการ ใบชะมวงมีสรรพคุณที่สำคัญคือ ให้รสเปรี้ยว มีสารอาหาร เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 และแร่ธาตุอีกมากมายรวมถึงแคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัส เมื่อกินพร้อมเนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงร่วมกันร่างกายจะสามารถนำสารอาหารเหล่านี้ไปใช้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ใบ ยอดอ่อน และผลของชะมวงยังจัดเป็นยาโบราณที่ช่วยระบายท้อง แก้ไข้ ฟอกเสมหะ ไอ กระหายน้ำ แก้ธาตุพิการ อีกด้วย ส่วนผสมเครื่องแกง พริกไทยเม็ด                              1     ช้อนโต๊ะ ข่าหั่นบาง                                 15   กรัม หอมแดง                                   2     ช้อนโต๊ะ กระเทียม                                   2     ช้อนโต๊ะ รากผักชีหั่น                               2     ช้อนชา พริกชี้ฟ้าแห้งกรีดเม็ดออก            15   กรัม กะปิเผา                                     1     ช้อนชา ส่วนผสมแกงหมูชะมวง หมูสามชั้นเนื้อมากติดมันน้อย       500 กรัม หรือเนื้อหมูส่วนติดมัน หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมใหญ่ ใบชะมวงใบไม่แก่ไม่อ่อนเกินไป    80   กรัม น้ำมัน                                       1     ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด                                  4     ถ้วย น้ำปลา                                     3     ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ                                 3     ช้อนโต๊ะ วิธีทำ หั่นใบชะมวงเป็นครึ่งส่วนพักไว้ ปั่นหรือตำเครื่องแกงให้ละเอียด นำเครื่องแกงไปผัดกับน้ำมัน และเนื้อหมู เติมน้ำสะอาดต้มจนเดือด ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บ ใส่ใบชะมวงลงไปคนให้เข้ากัน ต้มต่อไปจนน้ำงวดลง และใบชะมวงอ่อนนุ่ม ตักขึ้นเสิร์ฟ


เพิ่มเติม

ภาค กลาง

หมูสะเต๊ะ

ความเป็นมา หมูสะเต๊ะ เป็นอาหารปิ้งย่างที่คาดว่าได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเนื้อสะเต๊ะ แต่ในประเทศไทยที่มีคนจีนมากและไม่นิยมกินเนื้อวัวจึงเปลี่ยนเป็นเนื้อหมู ส่วนผสมที่ใช้หมักเนื้อก็ยังมีลูกผักชี ยี่หร่า ขมิ้นหรือผงกะหรี่  และร้านขายหมูสะเต๊ะอร่อยๆ มักเป็นคนจีน หมูสะเต๊ะเป็นของว่างที่กินได้ตลอดวัน และนิยมสั่งกินก่อนอาหารมื้อหนัก   คุณค่าทางโภชนาการ เนื้อหมูมีวิตามินบี 12 และอุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุต่างๆ มีโปรตีนที่ช่วยให้เด็กเจริญเติบโตได้เต็มที่ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เนื้อสะเต๊ะจะอร่อยเมื่อมีมันหมูติดไปด้วยเล็กน้อย เพราะจะทำให้เนื้อนุ่มและไม่กระด้าง แต่ควรระวังไม่กินมันหมูมากเกินไปเพราะร่างกายอาจจะรับไขมันเกินความจำเป็น   ส่วนผสม เนื้อหมูสันนอกหั่นเป็นชิ้นยาวกว้าง      1        กก. กะทิ                                          1        ถ้วย   เครื่องสำหรับหมักหมู ลูกผักชีป่น 1 ช้อนโต๊ะ ยี่หร่าป่น 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ ผงกะหรี่ 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา  น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ   วิธีทำ หมักหมูและเสียบไม้พักไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมง นำหมูสะเต๊ะย่างไฟ ขณะย่างพรมกะทิไปด้วยเพื่อไม่ให้แห้ง พอสุกใส่จาน เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มและอาจาด   ส่วนผสมน้ำจิ้มและวิธีทำ กะทิ 3 ถ้วย น้ำพริกแกง ½ ถ้วย ถั่วลิงสงโขลกละเอียด 1/3 ถ้วย น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปึก 2 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มมะขาม 2 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวกะทิให้พอแตกมัน ใส่น้ำพริกลงไปผัดจนหอม ใส่ถั่วลิสง น้ำปลา น้ำตาล น้ำส้มมะขาม เคี่ยวต่อจนข้น ชิมรส ส่วนผสมอาจาดและวิธีทำ น้ำส้มสายชู 1/3 ถ้วย น้ำตาลทราย ½ ถ้วย เกลือป่น 2 ช้อนชา แตงกวาผ่าสี่หั่น 2 ลูก หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ พริกชี้ฟ้าหั่นขวาง ½ เม็ด ผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ ตั้งไฟ พอทุกอย่างละลายยกลง พักไว้ให้เย็น จัดแตงกวา หอมแดง พริกชี้ฟ้าใส่ชาม ราดน้ำอาจาด


เพิ่มเติม

close[x]
Questionnaire